วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

นาฏศิลป์

ละครพันทาง



ละครพันทาง
รองศาสตราจารย์นุชนาฏ  ดีเจริญ 

                   
     ละครพันทาง เป็นละครรำชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5  ซึ่งเป็นสมัยที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย  ส่งผลให้ศิลปะการแสดงมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างตะวันตกและตะวันออก ทั้งในด้านลักษณะการแสดง และองค์ประกอบของการแสดง   ละครพันทางมีลักษณะเป็นละครแบบผสม     หากพิจารณาตามรูปศัพท์สามารถแยกได้ 2 คำ  คือ คำว่า “ละคร” และคำว่า “พันทาง”   ซึ่ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  ให้ความหมายไว้ ดังนี้
ละคร [- คอน] น.   การแสดงประเภทหนึ่ง  ผู้แสดง เรียกว่า ตัวละคร มีเวทีหรือสถานที่ใช้ในการแสดง  มีบทให้ตัวละครแสดงตามเนื้อเรื่อง โดยมากมีดนตรีประกอบ  มีลักษณะแตกต่างกันออกไปหลายชนิด  (2542 : 996)
พันทาง  น. เรียกไก่ที่พ่อเป็นอู แม่เป็นแจ้ ว่า ไก่พันทาง,ภายหลังเรียกเลยไปถึงสัตว์ที่พ่อแม่ต่างพันธุ์กัน  จนถึงสิ่งต่างชนิดบางอย่างที่แกมกันหรือไม่เข้าชุดกัน (2542 : 781)
สำหรับความหมายของคำว่า “พันทาง”  ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านนาฏศิลป์ไทย  ได้ให้ความเห็นไว้ว่า  พันทาง หมายถึง  มาจากหลายๆ ทาง (สัมภาษณ์  นพรัตน์  หวังในธรรม)  ซึ่งตรงกับลักษณะของละครพันทาง  ที่จะกล่าวถึงกลุ่มคนในหลายเชื้อชาติ เช่น พม่า  มอญ  จีน  ฯลฯ  และการแสดงออกของตัวละครจะเป็นไปตามเชื้อชาตินั้นๆ รวมถึงการแต่งกาย  เพลงและดนตรีด้วย
เมื่อพิจารณาจากความหมายของทั้ง 2 คำ และจากความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิสรุปได้ว่า ละครพันทาง เป็น การแสดงประเภทหนึ่งที่มีลักษณะบางอย่างที่แกม (ปน) กันหรือไม่เข้าชุดกัน ซึ่งแสดงว่ามาจากหลายๆ ทางนั่นเอง

ประวัติความเป็นมา
     ประวัติความเป็นมาของละครพันทาง  แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
     ระยะแรก  เรียกว่า ละครผสมสามัคคี  ผู้ริเริ่ม คือ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง  ได้นำพงศาวดารของชาติต่างๆ มาแสดง  โดยปรับปรุงท่ารำ ดนตรี การแต่งกายให้เลียนแบบชาติต่างๆ ของตัวละคร  เมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม  เจ้าหมื่นไวยวรนาถ(บุศย์)  รับสืบทอดและได้นำละครไทยไปแสดงที่ประเทศรัสเซีย นับเป็นการนำละครไทยไปแสดงยังประเทศทางยุโรปเป็นครั้งแรก  ซึ่งละครประสบการขาดทุน   หม่อมเจ้าเลื่อนฤทธิ์รับอุปการะโดยเป็นผู้อำนวยการแสดงและใช้ชื่อละครว่า ละครผสมสามัคคี  แต่ยังคงขาดทุนและเลิกแสดงไปในที่สุด
     ต่อมาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์  ได้สืบทอดการแสดงละครผสมสามัคคีจนประสบความสำเร็จโดยได้จัดแสดงและรับแสดงละครจนมีชื่อเสียงสืบมา แต่เมื่อคณะละครของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เลิกไปก็ไม่มีผู้ใดสานต่อ
     ระยะที่  2   พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ได้ทรงนำแบบแผนละครตะวันตกมาใช้กับละครไทย  คือ แบ่งฉากแสดง  มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง  ละครเรื่องแรกที่ใช้วิธีการนี้  คือ ละครเรื่อง  พระลอ   จัดแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อแสดงจบเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เติม คำว่า หลวงนำหน้าชื่อคณะ เป็น ละครหลวงนฤมิต ต่อมา เจ้าจอมมารดาเขียน และหม่อมหลวง  ต่วน  วรวรรณ  นำแนวความคิดเรื่องการนำเอาเรื่องพงศาวดารมาแสดง โดยปรับปรุงเครื่องแต่งกายใหม่  ละครที่ปรับปรุงใหม่นี้เรียกว่า ละครพันทาง
     ระยะที่ 3  กรมศิลปากรได้ฟื้นฟูละครพันทางขึ้นใหม่ ในสมัยที่ นายธนิต  อยู่โพธิ์  ดำรงตำแหน่งอธิบดี  โดยปรับปรุงบทละคร เรื่อง พระลอของเดิม และแต่งขึ้นใหม่หลายเรื่อง เช่น พ่อขุนกรุงสุโขทัย ศึกเก้าทัพ โดยเฉพาะเรื่องราชาธิราชและผู้ชนะสิบทิศ ได้รับความนิยมมาก

องค์ประกอบของการแสดง
วิธีแสดง
     เริ่มด้วยการไหว้ครู  โหมโรง จากนั้นม่านค่อยๆ เปิด โดยปี่พาทย์บรรเลงเพลงวา หรือเพลงออกภาษาของตัวละครตัวแรกที่ออกแสดง เมื่อจบเพลงม่านจะเปิดกว้างพอดี
     การดำเนินเรื่อง  ดำเนินเรื่องรวดเร็วเช่นเดียวกับละครนอก  โดยละครพันทางของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์มีการแบ่งบท แบ่งตอน และมีบทเจรจาสอดแทรกโดยเขียนไว้ในบท  บางครั้งตัวละครอาจแทรกบทเจรจาซึ่งตลกขบขันเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน(มิได้เขียนไว้ในบท) มีการบอกบทเพื่อกันการผิดพลาด
     ต่อมากรมศิลปากรเปลี่ยนวิธีการแสดงเป็นใช้ท่าทางธรรมดา ไม่รำในบทเจรจา และตัดคนบอกบทออก เมื่อจบฉากจะปิดม่านเพื่อเปลี่ยนฉาก  โดยมีตัวละครแสดงหน้าม่านเพื่อไม่ให้ผู้ดูเบื่อ  การร่ายรำ จะแสดงลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติต่าง ๆ   ซึ่งผู้ชมสังเกตได้ง่ายว่าเป็นชนชาติใด   เช่น  มอญ  พม่า จะใช้การตีไหล่และการเตะเท้า   ลาวใช้การโย้ตัว   จีน ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางเหยียดตึงนิ้วที่เหลือเก็บไว้ในอุ้งมือ  ชอบลูบหนวดเครา  ถือพัด   เดินก้มหน้าหมุนรอบตัวเอง เป็นต้น



     จบการแสดง  ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงสุดท้ายที่มีความสนุกสนาน หรือเพลงที่เป็นสิริมงคล  นิยมใช้เพลงกราวรำชั้นเดียว ต่อด้วยเพลงวาลาโรงแล้วปิดม่าน ต่อด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมี
   
สถานที่แสดง
     ละครผสมสามัคคีของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง แสดงในโรงละครปรินซ์เธียเตอร์    ละครพันทางของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์  แสดงที่โรงละครปรีดาลัย   และละครพันทางของกรมศิลปากรแสดงที่โรงละครแห่งชาติ
     ลักษณะของโรงละครคล้ายกัน คือ  แยกส่วนเวทีสำหรับแสดงกับส่วนของผู้ชม  โดยส่วนของเวทีแสดงจะยกพื้น  ส่วนของผู้ชมจัดเป็นที่นั่งเฉพาะคน  แต่ละโรงละครแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้
โรงละครปรินซ์เธียเตอร์  ปัทมาพร  ชเลิศเพ็ชร์ (2535 : หน้า 39) อธิบายลักษณะของโรงละครสรุปได้ว่า  ส่วนสำหรับแสดง ยกพื้นเวทีสูงกว่าที่นั่งของผู้ชม มีฉากยกพื้นฉากเดียวเช่นเดียวกับละครนอก แต่นำเทคนิค เรื่อง แสงสี เสียงมาใช้ด้วย  ส่วนที่นั่งผู้ชมจัดเป็นบ๊อกซ์ อยู่ด้านหน้าเวทีแสดง  ผู้ชมสามารถชมละครได้เพียงด้านเดียว

          

     โรงละครปรีดาลัย  จันทิมา  พรหมโชติกุล  (2518 : หน้า 73 - 74 ) อธิบายลักษณะของโรงละครสรุปได้ว่า  โรงละครเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  มีประตูหลายประตู เปิดเป็นทางเข้า 2 - 3 ประตู  ใช้เป็นทางออกทุกประตู  ส่วนเวทียกพื้นทำด้วยไม้ ด้านหน้ากว้าง  ด้านหลังสอบแคบลง  มีม่านและหลืบกั้น  ตามฝาผนังโรงบริเวณตรงกับที่นั่งของผู้ชมติดกระจกเงาสะท้อนให้เห็นเวที  ผู้ชมสามารถเห็นผู้กำกับการแสดงขณะกำกับตัวละครได้ด้วย  ด้านหน้าเวทีมีม่านสำหรับปิดเปิดเมื่อจบฉากหนึ่งๆ   ใช้เทคนิคแสง สี เสียง ช่วยสร้างบรรยากาศให้สมจริง  ส่วนของผู้ชมแบ่งเป็นชั้นตามฐานะของผู้เข้าชม  ตรงกลางด้านหน้าเป็นบ๊อกซ์  สามารถนั่งได้ 33 ที่ ส่วนบ๊อกซ์ด้านข้างมีที่นั่งข้างละ 25 ที่ ที่เหลือเป็นเก้าอี้ลอย คือ ไม่ได้จัดเป็นบ๊อกซ์
     โรงละครแห่งชาติ  ปัทมาพร  ชเลิศเพ็ชร์ (2535 : หน้า 42) อธิบายลักษณะของโรงละครสรุปได้ว่า  ลักษณะเป็นโรงละครมาตรฐาน  รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เวทีแสดงยกพื้นสูงมี 2 ระดับ  เวทีบนมีม่าน 2 ชั้น  ชั้นแรกเป็นรูปเทพพนมใช้ปิด -  เปิดม่านเมื่อเริ่มและเลิกแสดง  ชั้นในใช้สำหรับการเปลี่ยนฉาก  ในขณะที่เปลี่ยนฉากมักจะมีการแสดงที่เวทีล่าง  ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง หรือการแสดงสลับฉากก็ได้  บนเวทีใช้เทคนิคแสง สี เสียง ช่วยสร้างบรรยากาศให้สมจริง  จัดฉากสมจริง  สวยงาม  พิถีพิถัน  ที่นั่งของผู้ชมมี 2 ชั้น  ชั้นบน ตอนหน้า เป็นที่นั่งของ พระมหากษัตริย์  พระบรมวงศานุวงศ์ พระราชอาคันตุกะชาวต่างประเทศ  ส่วนหลังของชั้นบนเป็นที่นั่งของประชาชนที่ซื้อบัตรเข้าชมทั่วไป  ชั้นล่าง แบ่งเป็น 3 ชุด คือ  ชุดตรงกลางและชุดด้านข้าง ไม่มีการแบ่งเป็นบ๊อกซ์

       

     สำหรับการแสดงละครพันทางเรื่องราชาธิราช  ตอนสมิงพระรามอาสาในครั้งนี้แสดงที่โรงละครมหาวิทยาลัยนเรศวร  อาคารเฉลิมพระเกียรติ  72  พรรษา  พระบรมราชินีนาถซึ่งมีลักษณะดังนี้  โรงละครเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  เวทีมีเพียงระดับเดียว  ไม่มีม่านกั้นฉาก  ที่นั่งสำหรับคนดูมี 2 ชั้น  คือชั้นล่าง  และชั้นลอย  ทั้งสองชั้นแบ่งที่นั่งเป็น 3 ชุด คือ ชุดตรงกลางและชุดด้านข้าง  โดยชั้นล่างแยกเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง  ประตูทางเข้าออกชั้นล่างมี  6  ประตู  ชั้นลอยมี 4 ประตู  รวมทั้งหมด  861 ที่นั่ง

   

วงดนตรีและเพลง 
     วงดนตรีที่ใช้ คือ วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่  ผสมเครื่องบอกภาษา คือ เครื่องดนตรีที่ผสมเข้าไปเพื่อให้สำเนียงเพลงใกล้เคียงกับชาติต่างๆ ของตัวละครตามลักษณะเฉพาะของละครพันทาง  ดังนี้
     มอญ   ใช้ ตะโพนมอญ  ฆ้องมอญ  ปี่มอญ  เปิงมางคอก  บางครั้งใช้วงปี่พาทย์มอญทั้งวงในการบรรเลง
     พม่า    ใช้ กลองยาว  เกราะ  ฉาบเล็ก
     จีน      ใช้ ซออู้   กลองจีน  กลองต๊อก  ฉาบใหญ่  ล่อโก๊ะ  ม้าล่อ
     เขมร    ช้โทน
     ฝรั่ง     ใช้กลองมะริกัน
     ลาว     ใช้สะล้อ  ซอ  ซึง

     เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง แบ่งเป็น  เพลงบรรเลงและเพลงขับร้อง
เพลงบรรเลง แบ่งเป็น 5 ประเภท ตามลักษณะของการบรรเลง คือ เพลงโหมโรง  ใช้บรรเลงก่อนการแสดง
เพลงลงโรง  ใช้บรรเลงต่อจากเพลงโหมโรงหรือใช้บรรเลงตอนเปิดม่านหน้าเวที  เมื่อเพลงจบ ม่านจะเปิดกว้างเต็มที่  ตัวละครใน ฉาก 1  พร้อมแสดง
     เพลงหน้าพาทย์  ใช้บรรเลงประกอบกริยาอาการหรืออารมณ์ของตัวละคร เช่นเดียวกับละครรำชนิดอื่นๆ
     เพลงที่บรรเลงประกอบอากัปกิริยา หรืออารมณ์ของตัวละครที่นอกเหนือไปจากเพลงหน้าพาทย์
     เพลงลาโรง   เป็นการบรรเลงตอนสุดท้ายเมื่อจบการแสดง  ละครพันทางนิยมใช้เพลงบอกภาษา  และเมื่อม่านปิดแล้วจะบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีอีก 1 เพลง
     เพลงขับร้อง     เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องตามบท ใช้ในการดำเนินเรื่อง  อาจเป็นการบรรยายหรือใช้แทนการเจรจาโต้ตอบของตัวละคร  โดยมากเป็นเพลงสองชั้นและเพลงชั้นเดียว   ลักษณะการร้องเพลงประกอบการแสดง คล้ายกับละครนอกและละครใน คือ ต้นเสียงร้องนำก่อนในวรรคแรก  แล้วลูกคู่จึงร้องพร้อมกันในวรรคต่อไป   เพลงร้องที่เป็นลักษณะเด่นของละครพันทาง คือ  เพลงภาษา  ซึ่งมีสำเนียงเพลงที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติต่างๆ ตามที่กล่าวถึงในบทละคร  บางครั้ง บทร้องอาจมีภาษาของชาติต่างๆ ปรากฏอยู่  ซึ่งอาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้  เพราะจุดเน้นอยู่ที่สำนียงของเพลง  เช่น  เพลงจีนขิมเล็ก  มอญดูดาว   พม่าเห่  เขมรพระปทุม  ฝรั่งหน้าแดง  แขกเชิญเจ้า  ลาวกระตุกกี่ เป็นต้น  สำหรับเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องนิยมใช้เพลงร่ายนอกเช่นเดียวกับละครนอก
   
ผู้แสดง
     ไม่ได้กำหนดเป็นมาตรฐานว่าต้องใช้ผู้ชายหรือผู้หญิงแสดง  บางครั้งใช้ชายจริง หญิงแท้  บางครั้งใช้ผู้หญิงแสดงล้วน  สิ่งสำคัญ คือ  ผู้แสดง ต้องมีความสามารถในการร่ายรำ  เจรจาได้คล่องแคล่ว โดยไม่มีบทเขียนไว้ให้ และต้องแสดงบทบาทตามเชื้อชาติของตัวละครที่กล่าวถึง    การเลือกผู้แสดงต้องให้มีหน้าตา ผิวพรรณเหมาะสมกับเชื้อชาติของตัวละครที่กล่าวถึงในบท   ซึ่ง  ปัทมาพร  ชเลิศเพ็ชร  (2535 : หน้า 44 -  47)   กล่าวถึงรายละเอียดของผู้แสดงละครพันทาง ทั้งสามระยะไว้  สรุปได้ว่า
     ระยะแรก  เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงปรับปรุงละครนอกมาแสดงเรื่องพงศาวดาร  ท่านใช้ผู้หญิงเป็นตัวละครสำคัญ  คงใช้ผู้ชายแสดงเฉพาะตัวประกอบ เช่น แสดงเป็นทหาร เป็นต้น
     ระยะที่ 2  ละครพันทางของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์  ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน  เพราะทรงให้ความสำคัญกับการร่ายรำมาก  ผู้แสดงต้องรำงาม  จนในปี พ.ศ. 2476  พระนางเธอลักษมีลาวัณ  พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ โปรดให้เปลี่ยนผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้เป็นครั้งแรก
     ระยะที่ 3   ละครพันทางของกรมศิลปากร  ในช่วงแรก กลับไปใช้ผู้หญิงแสดงเป็นตัวละครสำคัญ  และใช้ผู้ชายแสดงเป็นทหาร เช่นเดียวกับละครพันทางระยะแรกของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง  ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้  และนิยมใช้ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้จนถึงปัจจุบัน

การแต่งกาย
     แต่งกายตามเชื้อชาติของตัวละครที่กล่าวถึงในเรื่อง  เช่น   การแต่งกายของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง  ในเรื่องราชาธิราช  นุ่งผ้าโสร่งสั้นปิดเข่าปล่อยชายไว้ข้างหน้า  สวมเสื้อคอกลมแขนยาวป้ายแขนแบบเสื้อจีน  ชายเสื้อสั้น  สวมเสวียนที่ศีรษะ  เป็นต้น

      

เรื่องที่แสดง
     ปัทมาพร   ชเลิศเพ็ชร  (2535 : หน้า 66 - 67)   กล่าวถึงเรื่องที่นำมาแสดงละครพันทาง  อาจจัดได้เป็น 2 ลักษณะ คือ  บทละครที่มาจากวรรณคดี  คัดแต่ตอนที่กล่าวถึงชนต่างชาติ  เช่น  พระลอ - ชาติลาว   สามก๊ก - ชาติจีน  ราชาธิราช - ชาติพม่า มอญ  และบทละครที่นำเค้าเรื่องมาจากพงศาวดาร เช่น เรื่องพระร่วง - ชาติเขมร  เรื่องศึกเก้าทัพ - ชาติพม่า  เรื่องพญาผานอง - ชาติลาว เรื่องซุยถัง - ชาติจีน เป็นต้น
     ลักษณะเฉพาะของบทละครพันทาง  คือ เป็นเรื่องราวที่มีตัวละครต่างชาติ หรือเป็นเรื่องของชนต่างชาติ  ส่วนใหญ่มีแนวคิดทำนองเดียวกัน คือ  ปลุกใจให้เกิดความรักชาติ  เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่  เป็นความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลเพื่อปกป้องประเทศชาติ  จบเรื่องด้วยชัยชนะในการทำศึก  มีเพียงบทละครพันทางของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์  เรื่อง พระลอ และพระยาร่วง ที่แนวคิดเป็นเรื่องอุปสรรคของความรักและความลุ่มหลง  ดำเนินเรื่องด้วยความขัดแย้งภายในใจตนเอง  ตัวละครหลงใหลในโลกียวิสัยและอบายมุข จนเป็นเหตุให้ต้องเสียชีวิต
     ลักษณะบทละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง และบทละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ยังมีลักษณะขนบนิยมของละครรำ  ได้แก่ การลงสรง  ทรงเครื่อง การพรรณนาชมธรรมชาติ การยกทัพ อยู่บ้างบางตอน   ส่วนบทละครของกรมศิลปากร  จะตัดขนบนิยมของละครรำเหล่านี้ออกเกือบหมด  คงมีเพียง บทยกทัพ ตรวจพลสั้นๆ  เช่น  ในเรื่องราชาธิราช  ตอน สมิงพระรามอาสา

                                          - ปี่พาทย์ทำเพลงจีนห้อแห่ - จีนลั่นถัน -
                                            -  พระเจ้ากรุงจีนยกออกเวทีล่าง  -
                                                    -  ร้องเพลงจีนลั่นถัน  -
                            เสด็จทรงพาชีมีอำนาจ            ให้เคลื่อนพยุหบาตรปีกซ้ายขวา
                    กามนีน้อมคำนับขับอาชา                นำโยธาเป็นกระบวนด่วนเดิน
                                                                                        -  เพลงจีน  -
                                      (บทละครของกรมศิลปากร : หน้า  108)

     ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของละครพันทาง คือ  การนำภาษาต่างชาติมาใช้ในบทละครด้วย ลักษณะการนำมาใช้ มี 2 แบบ คือ  นำมาใช้ปนไปกับภาษาไทย และ ใช้ร้องเพลง  โดยอาจมีความหมาย หรือ ไม่มีความหมายก็ได้  เช่น

                                                   -  ปี่พาทย์ทำเพลงพม่า  -
                                           -  พระเจ้ากรุงอังวะยกออกเวทีล่าง  -
                                                   -  ร้องเพลงพม่าประเทศ  -
                        ขึ้นทรงคอพระยาคชาชาติ            ให้เคลื่อนคลาดนิกรซ้อนสำ
                    สมิงพระรามขี่พาชีดำ                    ชักม้านำกระบวนออกนอกบุรี
                                                        -  เพลงพม่ารำขวาน  -
                                                    -  ร้องสร้อยเพลงพม่าเขว  -
                                       เขว  เขว  เขว                เขว  อิม  มะ  เล  เล  เล
                                เขว  อิม  มะ  เล                    เล  เล
                               ไซ  ยา  มอง  เล                    เลเล  เล  เล้...
                               ไซ  ยา  มอง  เล                    เลเล  เล  เล้...
                                      เขว  เขว                        ซวย  ยา  หม่อง
                                         (บทละครของกรมศิลปากร : หน้า  109)

     นอกจากนี้ละครพันทางยังมีการสร้างตัวละครที่แสดงให้เห็นว่าเป็นชาวต่างชาติด้วยวิธีการต่างๆ คือ   การกำหนดชื่อตัวละคร  กำหนดการแต่งกาย  กำหนดอุปกรณ์ประกอบการแสดง และเลือกใช้เพลงให้เหมาะสมกับชนชาตินั้นๆ

        

     จากองค์ประกอบของการแสดงดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปลักษณะของละครพันทางได้ดังนี้
ละครพันทางเป็นละครแบบผสมที่มาจากหลายๆ  ทางคือต่างเชื้อชาติกัน ไม่ว่าจะเป็นท่ารำ  เพลงร้อง  ดนตรี  การแต่งกาย  และเรื่องที่ใช้แสดง  ดังนี้
     เรื่องที่ใช้แสดงละครพันทาง  เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงชนต่างชาติต่างภาษา  เช่น  ราชาธิราช(มอญ - พม่า - จีน)  พระลอ(ลาว)
     ดนตรีและเพลงร้อง  มีลักษณะผสมคือ ฯลฯ ทำนองเพลงเป็นเพลงไทย  แต่มีสำเนียงของชนชาตินั้นๆ  (เพลงภาษา)  มีเนื้อร้องในบางช่วงเป็นภาษาต่างชาติ  ซึ่งอาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
     การแต่งกาย  แต่งตามเชื้อชาติของตัวละครที่กล่าวถึงในเรื่อง
ท่ารำ  เป็นแบบผสม  คือ  ท่ารำที่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติที่กล่าวถึงผสมกับท่ารำของไทย

     


ที่มา : หน่วยทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ข่าวเมื่อ : 28 Jun 10 / 18:40
โดย : หน่วยทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ประวัติศาสตร์

กรุงธนบุรี



สภาพทั่วไปก่อนการก่อตั้งกรุงธนบุรี

                กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยอยู่ 417 ปี (พ.ศ.1893-2310) ในระยะเวลาอันยาวนานนี้กรุงศรีอยุธยาได้ก้าวจากการเป็นอาณาจักรเล็กๆ มาเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ ตลอดจนศาสนา วัฒนธรรม ศิลปกรรมต่างๆ ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลงตามลำดับตั้งแต่ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้นระหว่างพระราชวงศ์และขุนนาง เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่แตกความสามัคคีแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำให้กำลังทหารแยกออกเป็นกลุ่มๆ ยิ่งบ้านเมืองว่างศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นเวลานาน กองทัพก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะสู้รบ พระมหากษัตริย์เองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่ทรงพระปรีชาสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะที่ศัตรูของไทยคือ พม่ามีกำลังและอำนาจมากขึ้นภายใต้พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์อลองพญา
                ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2310 ได้เกิดมีการกบฏขึ้นในหัวเมืองมอญ พม่าได้ยกกองทัพเข้าตีหัวเมืองมอญที่เมืองมะริดและตะนาวศรี แล้วเคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนไทยทางด่านสิงขรโดยปราศจาการต่อต้านจากฝ่ายไทย จนสามารถเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาได้ ถ้าจะวิเคราะห์สงครามครั้งนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของพม่าแต่เดิมนั้น เพียงเพื่อต้องการปราบปรามพวกกบฏชาวมอญ ซึ่งหนีมาอยู่ที่เมืองมะริดและตะนาวศรีเท่านั้น ยังมิได้ตั้งใจจะเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อพม่าสามารถตีเมืองมะริดและตะนาวศรีได้อย่างง่ายดาย โดยฝ่ายไทยมิได้เตรียมการต่อสู้แต่อย่างใดแสดงถึงความอ่อนแอของไทย พม่าจึงตีหัวเมืองไทยต่อเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงราชธานี
                ในการรับศึกพม่าครั้งนี้ พระเจ้าเอกทัศมิได้ทรงแสดงความสามารถในด้านการบัญชาการรบเลย ส่วนแม่ทัพนายกองของไทยก็อ่อนแอไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถมีความรักชาติบ้านเมือง ก็ไม่ได้รับความสะดวกในการสู้รบจึงเกิดความท้อถอย ดังเช่นพระยากตาก (สิน) ถึงกับตัดสินใจนำทหารประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปทางทิศตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังมาต่อสู้พม่า ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาต้องสูญเสียเอกราชแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 ซึ่งพม่ามารบพุ่งอย่างโจร เพราะพม่าไม่ได้คิดจะรักษาเมืองไทยไว้เป็นเมืองขึ้น หากแต่ต้องการจะริบเอาทรัพย์สมบัติและกวาดต้อนผู้คนเป็นเชลยไปใช้สอยในเมืองพม่า ด้วยเหตุนี้ เมื่อพม่าตีเมืองไหนได้ก็เผาเสียทั้งเมืองน้อยเมืองใหญ่ตลอดจนราชธานี แล้วเลิกทัพกลับไป ดังนั้นการเสียกรุงครั้งที่ 2 นี้ บ้านเมืองจึงยับเยินยิ่งกว่าในสมัยเสียกรุงครั้งแรก ฝ่ายหัวเมืองต่างๆ ที่มิได้ถูกพม่าย่ำยี ก็ถือโอกาสตั้งตนเป็นอิสระถึง 5 ชุมนุม คือ ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชและชุมนุมพระยาตาก (หรือพระยาวชิรปราการ) พระยาตากได้รวบรวมสมัครพรรคพวก ทำการสู้รบขับไล่พม่า จนกระทั่งสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ แต่สภาพกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ พระยาตากจึงเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา

การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี

                หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่าแล้ว สภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเมืองหลวงอีกต่อไป เพราะ
                    1. กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายชำรุดทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณะให้ดีดังเดิมได้
                    2. กรุงศรีอยุธยามีบริเวณกว้างขวางมาก เกินกว่ากำลังของพระองค์ที่มีอยู่ เพราะผู้คนอาศัยอยู่ตามเมืองน้อย ส่วนมากหลบหนีพม่าไปอยู่ตามป่า จึงยากแก่การรักษาบ้านเมืองได้สะดวกและปลอดภัย
                    3. ข้าศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศและจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี ทำให้ไทยเสียเปรียบในด้านการรบ
                    4. ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นอันตรายทั้งทางบกและทางน้ำ ข้าศึกสามารถโจมตีได้สะดวก
                    5. กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ห่างจากปากแม่น้ำมากเกินไป ทำให้ไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งนับวันจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ

                ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงตัดสินใจเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นราชธานีด้วยสาเหตุสำคัญต่อไปนี้
                    1. กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ
                    2. กรุงธนบุรีตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
                    3. สะดวกในการควบคุมการลำเลียงอาวุธและเสบียงต่างๆ ไปตามหัวเมืองหรือจากหัวเมืองเข้ามาช่วย เมื่อเกิดศึกสงคราม
                    4. ถ้าหากข้าศึกยกกำลังมามากเกินกว่ากำลังของทางกรุงธนบุรีจะต้านทานได้ก็สามารถย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีได้ โดยอาศัยทางเรือได้อย่างปลอดภัย
                    5.กรุงธนบุรีมีป้อมปราการอยู่ทั้งสองฟากแม่น้ำ ที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลงเหลืออยู่ สามารถใช้ในการป้องกันข้าศึกได้บ้างที่จะเข้ามารุกรานโดยยกกำลังมาทางเรือ  คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ และป้อมวิไชเยนทร์

การรวบรวมอาณาเขต

                เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายแตกสาแหรกขาด ผู้คนพากันหลบหนีเอาชีวิตรอด เกิดข้าวยากหมากแพง ผู้คนที่รอดพ้นจากการจับกุมและไม่ถูกกวาดต้อนไปยังพม่า ได้พยายามรักษาตัวรอด โดยการซ่องสุมผู้คนขึ้นตั้งกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชุมนุม ได้แก่
                1.ชุมนุมเจ้าพิมาย ตั้งอยู่ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน หัวหน้าคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ โอรสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าเมืองพิมายมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์บ้านพลูหลวง จึงได้สนับสนุนขึ้นเป็นใหญ่ 
                2.ชุมนุมเจ้าพระฝาง ตั้งอยู่ที่สวางคบุรี ทางเหนือของจังหวัดอุตรดิตถ์ มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยไปจนถึงเมืองแพร่ เจ้าพระฝาง (เรือน) เป็นสังฆราชเมืองสวางคบุรี มีความสามารถทางคาถาอาคม จึงตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ทั้งที่อยู่ในสมณเพศ (แต่ใช้ผ้าแดงนุ่งห่มแทนผ้าเหลือง)
                3.ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เป็นหัวหน้า เป็นชุมนุมที่สำคัญทางเหนือ มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัย ลงมาถึงนครสวรรค์ เจ้าพระยาพิษณุโลกเป็นขุนนางใหญ่ที่มีความสามารถในด้านการปกครองและการรบ พวกขุนนางที่หลบหนีพม่าออกจากรุงศรีอยุธยาได้ไปสมทบกับชุมนุมนี้เป็นอันมาก ต่อมาถึงแก่พิราลัย หัวหน้าชุมนุมคนต่อมา คือ พระอินทร์อากร 
                4.ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าคือ เจ้านครศรีธรรมราช (หนู) หรือหลวงสิทธินายเวร มีอาณาเขตตั้งแต่หัวเมืองมลายูขึ้นมาถึงเมืองชุมพร
                5.ชุมนุมพระยาตาก ตั้งอยู่บริเวณหัวเมืองชายทะเลทางฝั่งตะวันออก เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ได้พยายามป้องกันรักษาบ้านเมืองอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์ของกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นคับขันมาก ทำให้พระยาตากรวบรวมสมัครพรรคพวกไทย-จีน ประมาณ 500 คน ตีฝ่ากองทัพพม่าออกจากเมืองในเดือนยี่(มกราคม) พ.ศ.2309 เพื่อที่จะรวบรวมผู้คนมาสู้รบกับพม่าในตอนหลัง 
                พระยาตากมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของเมืองนครนายก และปราจีนบุรี ผ่านฉะเชิงเทรา ชลบุรี ถึงระยอง และที่ระยอง พระยาตากได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ พวกบริวารจึงเรียกว่า “เจ้าตาก” แต่นั้นมา   การที่เจ้าตากเลือกที่ตั้งมั่นทางหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก เพราะ
                    1.หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกไม่ได้เป็นเส้นทางที่พม่าเดินทัพผ่าน
                    2.เจ้าตากตัดสินใจเข้าโจมตีเมืองจันทบุรี เพราะจันทบุรีเป็นหัวเมืองเอกทางฝั่งทะเลด้านตะวันออก อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร สามารถค้าขายกับพ่อค้าจีนทางทะเลได้สะดวก และยังมีป้อมปราการมั่นคง เหมาะสำหรับยึดเป็นที่มั่นเพื่อเตรียมการรวบรวมไพร่พลต่อไป เจ้าตากยึดเมืองจันทบุรีได้ในเดือน 7 (มิถุนายน) พ.ศ.2310 หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน

การดำเนินงานกู้อิสรภาพ

                เจ้าตากใช้เมืองจันทบุรีเป็นแหล่งตระเตรียมการที่จะเข้ามากอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้พ้นจากอำนาจของพม่า ระหว่างฤดูฝน ได้ต่อเรือรวบรวมกำลังผู้คนและอาวุธ เจ้าตากพิจารณาว่าในระยะนั้นมีผู้คนตั้งตัวเป็นใหญ่หลายชุมนุมด้วย ผู้ที่จะเป็นใหญ่ได้จำเป็นจะต้องกำจัดอำนาจพม่าให้พ้นจากราชธานีเสียก่อน ดังนั้น เมื่อสิ้นฤดูฝนเจ้าตากได้ควบคุมเรือรบ 100 ลำ รวบรวมไพร่พล ประมาณ 5,000 คน ยกกองทัพเรือออกจากเมืองจันทบุรีมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือน 12 ตีเมืองธนบุรีและจับตัวนายทองอินประหารชีวิตแล้วขึ้นไปยังค่ายโพธิ์สามต้น สามารถขับไล่พม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยาได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเพียง 7 เดือนเท่านั้น
               สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกู้เอกราชและรวบรวมคนไทย ตั้งเป็นอาณาจักรไทยให้เป็นปึกแผ่นได้ เป็นเพราะ
                    1.พระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์
                    2.พระปรีชาสามารถในการผูกมัดน้ำใจคน จูงใจผู้อื่น ทรงมีความสุขุมรอบคอบ และเด็ดเดี่ยว
                    3.ทหารของพระองค์มีความสามารถ มีระเบียบวินัย กล้าหาญ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในอันที่จะสร้างความมั่นคง และความปลอดภัยให้และประเทศโดยอุทิศตัวเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
                เมื่อตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี อาณาจักรของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีอาณาเขตเพียงกรุงธนบุรี หัวเมืองรายรอบและหัวเมืองชายทะเลตะวันออกเท่านั้น ครั้งเมื่อพระองค์ปราบปรามชุมนุมต่างๆเป็นผลสำเร็จแล้ว อาณาจักรของพระองค์ก็กว้างขวางขึ้น การรวบรวมอาณาเขตภายในราชอาณาจักรของพระองค์ ใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น บ้านเมืองก็กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง

การปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ

                แผนการปราบปรามชุมนุมต่างๆ เริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2311 ด้วยการยกทัพเรือจากธนบุรี เพื่อปราบปรามชุมนุมพิษณุโลก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะได้รับการต่อต้านจนกระทั่งพระเจ้าตากทรงบาดเจ็บต้องยกทัพกลับ ส่วนทางพระยาพิษณุโลกเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงตั้งตัวเป็นกษัตริย์ พอราชาภิเษกได้ 7 วัน ก็ประชวรและถึงแก่พิราลัยในที่สุด พระอินทร์อากรน้องชายได้ขึ้นครองเมืองแทน เมืองพิษณุโลกก็เริ่มอ่อนแอทรุดโทรมลงตามลำดับ ด้วยเหตุนี้เจ้าพระฝางเห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงยกทัพลงมาตีเมืองพิษณุโลกเอาไว้ได้ในที่สุด
                ทางฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตาก เมื่อทราบข่าวพระยาพิษณุโลกถึงแก่พิราลัยและเมืองพิษณุโลกเกิดรบพุ่งกับเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรี ก็เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงยกทัพไปตีชุมนุมเจ้าพิมาย และตีได้เป็นชุมนุมแรก
                พ.ศ.2312 โปรดให้ยกทัพไปตีชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช และสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ มีผลทำให้อำนาจของกรุงธนบุรีขยายไปถึงสงขลา พัทลุงและเทพา
                พ.ศ.2313 ได้ยกทัพไปปราบเจ้าพระฝางได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งขณะเดียวกันก็ยึดเมืองพิษณุโลกได้ด้วย

การป้องกันพระราชอาณาจักร

                ปัญหาที่สำคัญยิ่งตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือ การรักษาเอกราชของประเทศให้มั่นคงปลอดภัย หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงรบชนะพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น และทรงกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ได้ต้องทำการรบกับพม่าอีกหลายครั้งซึ่งส่วนใหญ่ไทยเป็นฝ่ายชนะ การทำสงครามกับพม่าครั้งสำคัญ เช่น
                    1. การรบกับพม่าที่บางกุ้ง สมุทรสงคราม พ.ศ. 2311 ผลปรากฏว่าพม่าแพ้เสียอาวุธและเสบียงอาหาร และเรือเป็นจำนวนมาก
                    2. พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ. 2313 ผลปรากฏว่าพม่าไม่สามารถตีไทยได้
                    3. ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2313 สงครามครั้งนี้ต่อเนื่องจากสงครามครั้งที่ 2 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปช่วยรักษาเมืองสวรรคโลก ทรงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะยึดเมืองเชียงใหม่มาจากพม่า แต่ไม่สำเร็จ
                    4. พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 1 พ.ศ. 2315 แต่ไม่สำเร็จ ถูกตีแตกพ่ายไป
                    5. พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 2 พ.ศ. 2316 ผลปรากฏว่าพม่าพ่ายแพ้ไปทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหักขึ้น
                    6. ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 พ.ศ.2317 สามารถยึดเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นได้
                    7. การรบกับพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี พ.ศ. 2317 ผลปรากฏว่าพม่าแพ้เสียชีวิตและถูกจับเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก
                    8. อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ โดยเฉพาะพิษณุโลก พ.ศ. 2318-2319 สงครามครั้งนี้นับว่าเป็นสงครามครั้งใหญ่ในสมัยธนบุรี ผลปรากฏว่าพม่าแพ้ถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
                    9 .พม่าตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2319 พม่าไม่สามารถตีเมืองเชียงใหม่ได้ต้องแตกพ่ายไป แต่หลังจากที่พม่าแตกทัพกลับไปแล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเห็นว่าเชียงใหม่มีผู้คนไม่มากพอที่จะรักษาเมือง จึงอพยพผู้คนออกจากเมืองและประกาศให้เป็นเมืองร้างตั้งแต่นั้นมา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงได้ตั้งขึ้นมาใหม่

การขยายอาณาเขต

                หลังจากที่เหตุการณ์ภายในกรุงธนบุรีสงบเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงเริ่มขยายอาณาเขตออกไปยังประเทศใกล้เคียง ได้แก่ เขมรและลาว
                1. การขยายอำนาจไปยังเขมร ขณะนั้นดินแดนเขมรเกิดการแก่งแย่งอำนาจกันระหว่างพระรามราชา (นักองนน)กับพระนารายณ์ราชา(นักองตน) พระนารายณ์ราชาไปขอความช่วยเหลือจากญวน พระรามราชาสู้ไม่ได้หนีมาขอความช่วยเหลือจากไทย ครั้งแรกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชส่งพระราชสาสน์ไปยังพระนารายณ์ราชาให้มาสวามิภักดิ์ต่อไทย แต่พระนารายณ์ราชาไม่ยอม ดังนั้นจึงทรงโปรดฯให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) นำทัพไปตีเขมรใน พ.ศ. 2312 ขณะที่ทัพไทยตีได้เมืองเสียมราฐ พระตะบอง โพธิสัตว์ กับจะตีเมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร) เขมรปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคต พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาจึงยกทัพกลับพ.ศ.2314 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปราบชุมนุมต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จยกทัพไปตีเขมรอีกครั้งและสามารถตีเขมรได้สำเร็จ ได้สถาปนาพระรามาชาขึ้นครองเขมร ส่วนพระนารายณ์ราชาหนีไปพึ่งญวน ต่อมาได้มาสวามิภักดิ์ต่อไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้เป็นพระมหาอุปโยราช (วังหน้า) (ตำแหน่งพระมหาอุปโยราช คือ ตำแหน่งรัชทายาทของกษัตริย์เขมร ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งพระมหาอุปราชของไทย) เหตุการณ์ในเขมรจึงสงบลง
                ต่อมาใน พ.ศ. 2323 เกิดการกบฏในเขมร พวกกบฏจับพระรามราชาและพระนารายณ์ราชาปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ไปปราบการจลาจลได้สำเร็จ และโปรดเกล้าฯ ให้นักองเองซึ่งเป็นโอรสของพระนารายณ์ราชาได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน แต่เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ จึงมีฟ้าทะละหะ (มู) เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เขมรจึงหันไปพึงญวนอีกครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมร ขณะที่กองทัพไทยจะรบกับเขมรอยู่นั้น ก็มีข่าวว่าทางกรุงธนบุรีเกิดจลาจลวุ่นวาย ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเสียพระสติ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงต้องรีบยกทัพกลับ
                2. การขยายอำนาจไปลาว ในสมัยกรุงธนบุรีไทยได้ทำศึกขยายอำนาจไปยังลาว 2 ครั้ง คือ
                    2.1 การตีเมืองจำปาศักดิ์  เพราะเจ้าเมืองนางรองเกิดขัดใจกับเจ้าเมืองนครราชสีมา จึงคิดกบฏต่อไทยไปขอขึ้นกับเจ้าโอ (หรือเจ้าโอ้) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรีไปปราบ จับเจ้าเมืองนางรองประหารชีวิต ทำให้เมืองจำปาศักดิ์และดินแดนลาวตอนล่างอยู่ภายใต้อำนาจของไทย ใน พ.ศ.2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาจักรี เป็น “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกพิลึกมหิมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศราชสุริยวงศ์” นับว่าเป็นการพระราชทานยศให้แก่ขุนนางสูงที่สุดเท่าที่เคยมีปรากฏมาในสมัยนั้น
                    2.2 การตีเวียงจันทน์ มีสาเหตุมาจากพระวอเสนาบดีของเจ้าสิริบุญสารเกิดวิวาทกับเจ้าครองนครเวียงจันทน์ พระวอจึงหนีเข้ามาอยู่ที่ตำบลดอนมดแดง (ในจังหวัดอุบลราชธานี) ขอสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าสิริบุญสารได้ส่งกองทัพมาปราบและจับพระวอฆ่าเสีย ใน พ.ศ.2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมาหาราชจึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพไปปราบ ขณะที่ไทยยกทัพไป เจ้าร่มขาวเจ้าผู้ครองเมืองหลวงพระบางมาขอสวามิภักดิ์ต่อไทยและส่งกองทัพมาช่วยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย เจ้าสิริบุญสารสู้ไม่ได้จึงหลบหนีไป เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมทั้งพระบางมาไว้ที่ไทยด้วย (ส่วนพระบางนั้น ต่อมาไทยคืนให้แก่ลาวในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)

ความเจริญทางด้านต่างๆ ในสมัยธนบุรี และการติดต่อกับต่างประเทศ

                ตลอดระยะเวลา 15 ปี ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการต่อสู้ปราบปราม ป้องกันและขยายอาณาเขตของประเทศ จึงไม่ค่อยมีเวลาจะที่จะพัฒนาประเทศทางด้านอื่นมากนัก แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงพยายามสร้างความเจริญให้แก่ประเทศในด้านต่างๆ ดังนี้
                1. ด้านการปกครอง ลักษณะการปกครองของกรุงธนบุรี ดำเนินรอยตามแบบแผนของสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยแบ่งการปกครองออกเป็น
                    1.1 การปกครองส่วนกลางหรือราชธานี อยู่ในความรับผิดชอบของอัครมหาเสนนาบดีทั้ง 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ดูแลฝ่ายทหาร และสมุหนายก ดูแลฝ่ายพลเรือน กับตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ตำแหน่ง คือ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา กรมทั้ง 4 นี้ มีหน้าที่ คือ
                            1) กรมเวียง มีหน้าที่ปกครองท้องที่ บังคับบัญชาบ้านเมือง และรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
                            2) กรมวัง มีหน้าที่รับเกี่ยวกับราชสำนัก และพิจารณาพิพากษาคดีความของราษฎร
                            3) กรมคลัง มีหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้มาจากส่วยอากร บังคับบัญชากรมท่าซึ่งเกี่ยวข้องกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และมีหน้าที่เกี่ยวกับพระคลังสินค้าการค้าสำเภาของหลวง
                            4) กรมนา มีหน้าที่ดูแลการทำนา เก็บข้าวขึ้นฉางหลวง และพิจารณาคดีความเกี่ยวกับเรื่องโค กระบือและที่นา  คำว่า “กรม” ในที่นี้หมายความคล้ายกับ “กระทรวง”ในปัจจุบัน
                    1.2 การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น
                            1) การปกครองหัวเมืองชั้นใน ที่อยู่รายรอบราชธานี เรียกว่า เมืองชั้นจัตวา มีผู้ปกครองเรียกว่า “ผู้รั้ง” ปฏิบัติตามคำสั่งของเสนาบดีจตุสดมภ์ในราชธานี
                            2) การปกครองหัวเมืองภายในราชอาณาจักร เรียกว่า หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร เป็นเมืองที่อยู่นอกเขตราชธานีออกไป แบ่งออกเป็นเมืองชื้นเอก โท ตรี
                            3) การปกครองหัวเมืองประเทศราช ที่อยู่ห่างไกลออกไปถึงชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่น ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ตามกำหนด ได้แก่ กัมพูชา ลาว เชียงใหม่ และนครศรีอธรรมราช
                2. ด้านกฎหมายและการศาล กฎหมายและวิธีพิจารณาคดีความในศาลสมัยธนบุรี ใช้ตามแบบสมัยอยุธยาเท่าที่มีหลักฐานปรากฏอยู่มีเพียงฉบับเดียว เกี่ยวกับการสักเลก คือ การลงทะเบียนชายฉกรรจ์เพื่อรับใช้ในราชการ เรียกว่า ไพร่หลวง การสักเลกในสมัยนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นระยะเวลาของการป้องกันและแผ่อำนาจเพื่อให้ประเทศชาติมั่นคง   ส่วนการศาลมักใช้บ้านของเจ้านาย บ้านของตุลาการ บางครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงเป็นผู้พิพากษาคดีเอง และทรงใช้ศาลทหารและพระบรมราชโองการเป็นกฎหมายใช้ในการตัดสินคดีความด้วย
                3. ด้านเศรษฐกิจ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าแล้ว สภาพเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมากประชาชนยากจนอัตคัดฝืดเคือง อาหารหายากและราคาแพง เนื่องจากในขณะที่เกิดศึกสงครามผู้คนต่างพากันหนีเอาตัวรอด การทำไร่ทำนาต้องหยุดชะงักลง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระยะที่ตั้งกรุงธนบุรีใหม่ๆ ด้วยการจ่ายพระราชทรัพย์ซื้อข้าวจากพ่อค้าต่างประเทศในราคาสูงเพื่อแจกจ่ายประชาชน และชักชวนให้ราษฎรกลับมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามเมืองต่างๆ ทำมาหากินดังแต่ก่อน   นอกจากนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยังส่งเสริมทางด้านการค้าขาย มีการส่งเรือสำเภาไปค้าขายยังประเทศ อินเดียและประเทศใกล้เคียง สำหรับสิ่งของที่บรรทุกเรือสำเภาหลวงไปขาย เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ในประเทศ เช่น ผ้าลายและถ้วยชามมาขายให้แก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งการค้าขายนี้เป็นแบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ อยู่ภายใต้การดูแลของพระคลังสินค้า หรือกรมาท่า มีการส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะปลูก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
                4. ด้านสังคม สังคมไทยสมัยกรุงธนบุรีมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะมีการทำศึกกับพม่าบ่อยครั้ง มีการสักเลกบอกชื่อสังกัดมูลนายและเมืองไว้ที่ข้อมือไพร่หลวงทุกคน ซึ่งมีหน้าที่รับใช้ราชการปีละ 6 เดือน โดยการมารับราชการ 1 เดือน แล้วหยุดไปทำมาหากินของตนอีก 1 เดือนสลับกันไป เรียกว่า “การเข้าเดือนออกเดือน” ไพร่หลวงอีกพวกหนึ่ง เรียกว่า “ไพร่ส่วย” คือ ไพร่หลวงที่ส่งสิ่งของแทนการใช้แรงงานแก่ราชการ ซึ่งเป็นพวกที่รับใช้แต่เฉพาะเจ้านายที่เป็นขุนนาง
                5. ด้านการศึกษา แม้ว่าบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะสงคราม แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงทะนุบำรุงการศึกษาอยู่เสมอ ศูนย์กลางการศึกษาในสมัยธนบุรีอยู่ที่วัด เด็กผู้ชายเมื่อมีอายุพอสมควร พ่อแม่มักเอาไปฝากกับพระ เมื่อมีเวลาว่างพระก็จะสอนให้อ่านเขียน หนังสือแบบเรียนที่ใช้คือหนังสือจินดามณี เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็เรียนแต่งร้อยแก้ว โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ศึกษาศัพท์ เขมร บาลี สันสกฤต วิชาเลข เรียนมาตราไทย ชั่ง ตวง วัด มาตราเงินไทย คิดหน้าไม้ (วิธีการคำนวณหาจำนวนเนื้อไม้เป็นยก หรือเป็นลูกบาศก์) การศึกษาด้านอาชีพ พ่อแม่มีอาชีพอะไรก็มักฝึกให้ลูกหลานมีอาชีพตามตนเอง โดยฝึกฝนตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เช่น วิชาช่างและแกะสลัก ช่างปั้น ช่างถม แพทย์แผนโบราณ ฯลฯ
                ส่วนสตรี ประเพณีโบราณไม่นิยมให้เรียนหนังสือ มีน้อยคนที่อ่านออกเขียนได้ เด็กผู้หญิงส่วนมากจะถูกฝึกสอนให้ด้านการเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว การจัดบ้านเรือน และมารยาทของกุลสตรี
                6. ด้านศาสนา เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 สิ่งสำคัญต่างๆ ในพระพุทธศาสนาถูกทำลายเสียหายมาก หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี พระองค์ได้ฟื้นฟูศาสนาขึ้นใหม่โดยชำระความบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ พระสงฆ์รูปใดที่ประพฤติไม่อยู่ในพระวินัยก็ให้สึกออกไปเสีย พระสงฆ์รูปใดประพฤติอยู่ในพระวินัยทรงอาราธนาให้บวชเรียนต่อไป นอกจากนี้ พระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างพระอุโบสถ วิหาร เสาสนะ กุฏิสงฆ์และวัดวาอารามต่างๆ เช่น วันบางยี่เหนือเหนือ (วัดราชคฤห์) วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม) วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) วัดหงส์ (วัดหงส์รัตนาราม) เป็นต้น
                นอกจากนี้เมื่อพระองค์ทราบว่าพระไตรปิฎกมีอยู่ที่ใด ก็ทรงให้นำมาคัดลอกเป็นฉบับหลวงไว้ที่กรุงธนบุรี แล้วส่งต้นฉบับกลับไปเก็บไว้ที่เดิม ทรงให้ช่างจารพระไตรปิฎกทั้งจบ ที่สำคัญที่สุดทรงให้อัญเชิญพระแก้วมรกต มาประดิษฐานที่วัดอรุณราชวราราม

                7. ด้านศิลปะและวรรณกรรม สมัยกรุงธนบุรีด้านศิลปะมีไม่ค่อยมากนัก เพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงให้มีการละเล่น เพื่อเป็นการบำรุงขวัญประชาชน ให้หายจากความหวาดกลัวและลืมความทุกข์ยาก มีขบวนแห่อัญเชิญและสมโภชพระแก้วมรกตเป็นเวลา 7 วัน การประชันละครระหว่างละครผู้หญิงของเจ้านครศรีธรรมราช และละครหลวง
                ผลงานทางด้านวรรณกรรมในสมัยนั้น มีน้อยและไม่สู้สมบูรณ์นัก วรรณกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์บางตอน หลวงสรวิชิต (หน) ประพันธ์ลิลิตเพชรมงกุฏและอิเหนาคำฉันท์ นายสวนมหาดเล็ก ประพันธ์โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี การไปติดต่อกับจีนในปลายรัชสมัยทำให้มีวรรณกรรมเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง คือ นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน หรือนิราศเมืองกวางตุ้ง  
                ส่วนผลงานด้านสถาปัตยกรรมในสมัยธนบุรี ไม่มีผลงานดีเด่นที่พอจะอ้างถึงได้

การติดต่อกับประเทศตะวันตก

                ในสมัยธนบุรีประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศตะวันตก ดังนี้
                    1. ฮอลันดา ใน พ.ศ. 2313 ฮอลันดาจากเมืองปัตตาเวีย (จาการ์ตา) ซึ่งเป็นสถานีการค้าของฮอลันดา และแขกเมืองตรังกานูได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อถวายปืนคาบศิลา จำนวน 2,200 กระบอก และถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองด้วย
                    2. อังกฤษ ใน พ.ศ.2319 กัปตันฟรานซิส ไลท์ ได้นำปืนนกสับ จำนวน 1,400 กระบอกและสิ่งของอื่นๆ เข้ามาถวายเพื่อเป็นการสร้างสัมพันธไมตรี
                    3. โปรตุเกส ใน พ.ศ. 2322 แขกมัวร์จากเมืองสุรัต ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส นำสินค้าเข้ามาค้าขายในกรุงธนบุรี และไทยได้ส่งสำเภาหลวงไปค้าขายยังประเทศอินเดีย

เหตุการณ์ตอนปลายสมัยธนบุรี

                ในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติฟั่นเฟือนไป เข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบัน และจะให้พระสงฆ์กราบไหว้พระองค์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั่วแผ่นดินจากข้าราชการที่ทุจริตกดขึ่ข่มเหงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุทำให้เกิดจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี ราษฎรต่างทิ้งบ้านเรือนหนีเข้าป่าไปเป็นอันมาก
                ขณะเดียวกันก็เกิดกบฏขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทราบข่าวกบฏ จึงสั่งพระยาสรรค์ขึ้นไปสอบสวน แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้าพวกกบฏ ยกพวกเข้าปล้นพระราชวังที่กรุงธนบุรี ในเดือนเมษายน 2324 บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออกผนวชและคุมพระองค์ไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม และพระยาสรรค์ก็ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน
                ส่วนสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กำลังจะยกทัพไปตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จึงรีบยกทัพกลับขณะนั้นเป็นเดือนเมษายน 2325 เมื่อมาถึงกรุงธนบุรี พระองค์ได้ซักถามเรื่องราวความยุ่งยากที่เกิดขึ้น จึงให้ประชุมข้าราชการ ปรากฏว่าที่ประชุมลงความเห็นว่าให้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินมหาราช ขณะนั้นทรงมีพระชนม์ 48 พรรษา รวมเวลาครองราชย์ 15 ปี

                ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงตรากตรำในการสู้รบ เพื่อรักษาและขยายของเขตแผ่นดินโดยมิได้ว่างเว้น จนสามารถขยายเป็นอาณาจักรใหญ่ในแหลมทองนี้ได้ พระองค์ทรงเป็นนักรบ มิได้ทรงมีโอกาสแม้แต่จะเสวยสุขสงบในบั้นปลายพระชนม์ชีพ เพราะได้เกิดกบฏพระยาสรรค์ขึ้นก่อน บ้านเมืองวุ่นวาย จนเป็นเหตุให้ทรงถูกสำเร็จโทษดังที่กรมหลวงนรินทรเทวีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุความทรงจำของท่านว่า  “เมื่อต้นแผ่นดินเย็นด้วยพระบารมี ชุ่มพื้นชื่นผลจนมีแท่น ปลายแผ่นดินแสนร้อย รุมสุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน ด้วยสิ้นพระบารมีแต่เพียงนั้น”

สรุปเหตุการณ์สำคัญสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ลำดับที่ พ.ศ.2277

            สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระราชสมภพ (สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) บิดาชื่อ ไหฮอง มารดาชื่อ นางนกเอี้ยง มีกำเนิดเป็นสามัญชน เมื่อพระชนมายุได้ 4 วัน เจ้าพระยาจักรีขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

ลำดับที่ พ.ศ.2290

            เมื่ออายุครบ 13 พรรษา ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ลำดับที่ พ.ศ.2298

            เมื่ออายุครบ 21 พรรษา ทรงผนวช ณ สำนักอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส เมื่อทรงลาสิกขาแล้วได้รับราชการในตำแหน่งหาดเล็กรายงานในกรมหาดเล็กไทยและกรมวังศาลหลวง

ลำดับที่ พ.ศ.2301

            ปีต้นรัชกาลสมเด็จพระสุริยาศน์อมรินทร์หรือพระเจ้าเอกทัศ ได้เป็นพระยาเจ้าเมืองตาก ต่อมาเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปครอง

ลำดับที่ พ.ศ.2309

พระยาวชิรปราการพาพรรคพวกไทย-จีน ฝ่าวงล้อมพม่าออกจากรุงศรีอยุธยาไปซ่องสุมกำลังผู้คนและตระเตรียมกำลังทัพที่จันทบุรี

ลำดับที่ พ.ศ.2310

กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกอบกู้เอกราชคืนมาได้ในปีเดียวกัน และตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่

ลำดับที่ พ.ศ.2311

เริ่มปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก

ลำดับที่ พ.ศ.2312

ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชสำเร็จ ยกทัพไปตีเขมรครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ

ลำดับที่ พ.ศ.2313

รวบรวมประเทศได้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ปราบชุมนุมเจ้าพระฝางสำเร็จ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ รบชนะพม่าที่สวรรคโลก และตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 1 จัดการปกครองและการศาสนาในหัวเมืองครั้งใหญ่

ลำดับที่ 10 พ.ศ.2314

ยกทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2 และสามารถปราบเขมรไว้ในอำนาจ นายสวนมหาดเล็กแต่งโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี

ลำดับที่ 11 พ.ศ.2315

พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 1 แต่ไม่สำเร็จ

ลำดับที่ 12 พ.ศ.2316

รบชนะพม่าที่มาตีเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก

ลำดับที่ 13 พ.ศ.2317

รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี พม่าถูกจับและเสียชีวิตไปมายมาก ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ

ลำดับที่ 14 พ.ศ.2318

พม่ายกทัพใหญ่มาตีหัวเมืองเหนือแต่ไม่สำเร็จ ถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน

ลำดับที่ 15 พ.ศ.2319

พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ

ลำดับที่ 16 พ.ศ.2321

โปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาไว้ที่กรุงธนบุรี

ลำดับที่ 17 พ.ศ.2323

เกิดจลาจลในเขมร โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระองค์เจ้าจุ๊ย ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อน หลวงสรวิชิต(หน) แต่งอิเหนาคำฉันท์

ลำดับที่ 18 พ.ศ.2324

ส่งทัพไปปราบจลาจลในเขมร

ลำดับที่ 19 พ.ศ.2325

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 48 พรรษา เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 โดยถูกประหารชีวิตด้วยท่อนไม้จันทน์ด้วยทรงมีพระสติวิปลาส รวมเวลาครองราชย์ทั้งหมด 15 ปีเศษ



ที่มา https://sites.google.com/site/jaruphasurapinit310/krungthnburi

เทคโนโลยี

       



Smart Watch

ที่มาภาพ http://news.siamphone.com/news-18877.html

        สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) เหรอเจ้านาฬิกาอัจฉริยะที่เค้าเรียกกัน นางถูกออกแบบมาเพราะให้เป็นนาฬิกาข้อมือที่สามารถทำได้มากกว่าการบอกเวลาปกติ และเมื่อเชื่อมเข้ากับสมาร์ทโฟนแล้วความสามารถของนาฬิกาก็จะทวีคูณขึ้น จนเรียกได้ว่าสามารถเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กได้เลยทีเดียว ซึ่งในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมาพร้อมฟังก์ชั่นและลูกเล่นที่แตกต่างกันออกไป พร้อมด้วย Smart Watch ที่หลาย ๆ คนพูดถึงนี้มันคืออะไร และมีความสามารถอย่างไรบ้างที่ยิ่งกว่านาฬิกาทั่วไปเรามาทำความรู้จักเจ้านาฬิกาอัจฉริยะตัวนี้กันดีกว่า


ผลประโยชน์ของสมาร์ทวอทช์ (Smart watch) ที่ทำได้ยิ่งกว่าการบอกเวลา
       1. สมรรถทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนได้อย่างลงตัว
สามารถเซ็ตโนติข่าวต่าง ๆ ได้ อย่าง SMS , Noti จาก Social Network, E-mail ต่าง ๆ ที่แจ้งเตือน ผ่านทางหน้าจอของสมาร์ทวอทช์ โดยที่เราไม่ต้องต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู รวมไปถึงยังมีการแจ้งเตือนจากสายเรียกเข้า และสามารถสั่งงานผ่านตัวนาฬิกาได้เลย พ่าง การรับสาย หรือไม่ก็วางสาย บางรุ่นสามารถใส่ซิม โทรออกรับสายเข้าได้อีกด้วย
 
       2. สามารถที่จะเก็บข้อมูลสุขภาพและการออกกำลังของเราได้
พอสมควรมากกับคนที่รักสุขภาพ และชอบการออกกำลังกาย เจ้าสมาร์ทวอทช์ก็สามารถเก็บข้อมูลการกระดุกกระดิกร่างกายต่างๆ และสามารถบันทึกข้อมูลเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลระยะทางในการออกกำลัง อัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจวัดกิจกรรมต่างๆ ในการออกกำลังกาย รวมไปถึงการตรวจวัดการนอนหลับของคุณ แล้วนำเอาข่าวไปเก็บเป็นสถิติ เพื่อให้คุณติดตามความแปรของสุภาพของคุณได้อย่างต่อเนื่อง สามารถนำไปวิเคราะห์ข้อมูลของสุขภาพได้
       3. อาจใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ตามเทรนด์แฟชันได้
ด้วยการออกแบบที่ใกล้เคียงกับนาฬิกาจริง ทำให้สมาร์ทวอทช์ แต่แต่ละแบรนด์ก็ได้มีการออกแบบให้ของนาฬิกาของตัวเองดูก๋ากั่นที่สุด เพื่อให้ความรู้สึกในการสวมใส่ใกล้เคียงกับนาฬิกาตามโดยทั่วไปแล้วนอกเหนือจากนี้บางรุ่นยังมีการออกแบบของตัวเรือนนาฬิกาให้สามารถถอดแยกออกจากสายได้ ช่วยเพิ่มความเท่ห์พร้อมกับสีสันให้ชีวิตได้ไม่ซ้ำวัน 
 
       4. ศักยทำงานร่วมกับ GPS ระบุตำแหน่งได้
สมาร์ทวอทช์สามารถดำเนินกิจการร่วมกับ GPS ได้เพื่อระบุชั้นให้คุณสามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันเสริมที่รองรับก็สามารถกลายเป็นอุปกรณ์สำหรับติดตามได้ ก็เพราะว่าสามารถระบุตำแหน่ง รวมถึงการโทรหากันได้ และมีระบบการแจ้งเตือนไปหาคุณ หากนาฬิกาถูกถอด หลุดจากมือของเด็ก หรือออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราได้กำหนดไว้ เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวก รวมไปถึงความอุ่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้มากเลยนะคะ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในข้อดีของสมาร์ทวอทช์เพื่อน ๆ ลองมาเพิ่มความเท่ให้กับตัวเองด้วยการหาสมาร์ทวอทช์มาประดับข้อมือก็ดูจะน่าเป็นอะไรที่เสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้นได้เป็นอย่างดีเลย




ที่มา http://www.bannaidong.go.th/webboard/index.php?topic=59170.0

นาฏศิลป์

ละครพันทาง ละครพันทาง รองศาสตราจารย์นุชนาฏ  ดีเจริญ                           ละครพันทาง เป็นละครรำชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาล...